วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยันต์ 5 แถว


ยันต์ 5 แถว

การ สักยันต์ 5 แถวนั้น วัตถุประสงค์หลักๆในการสักก็คือ เพื่อหนุนดวง เสริมดวง ให้ผู้ที่รับการสักนั้น มีดวงชะตาที่ดีขึ้น ทำกิจการค้าขายรุ่งเรือง ให้ผลทางด้านเมตตามหานิยม จึงไม่แปลกเลยที่จะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน กลุ่มผู้ที่นิยมสักก็จะเป็นพวก ดารา นักแสดง นักร้อง ผู้ที่ทำกิจการค้าขาย เพราะคำร่ำรือถึงอาณุภาพความเข้มขลังของยันต์ 5 แถวนี้ทำให้มีผู้ที่ต้องการสักเป็นจำนวนมาก อาจารย์สักที่เก่งๆมีหลายท่านด้วยกันแต่ในทีนี้ขอหยิบยกท่าน อ.หนู กันภัย ขึ้นมาพูดถึงด้วยความเคารพ ยันต์ 5 แถวของ อ.หนู กันภัย มีพุทธคุณดังนี้

แถวที่ 1 คือพระคาถาเมตตามหานิยม

แถวที่ 2 คือพระคาถาหนุนดวงชะตา

แถวที่ 3 คือพระคาถาแห่งความสำเร็จ (เรื่องหน้าที่การงาน)

แถวที่ 4 คือพระคาถาราศีประจำตัว

แถวที่ 5 คือพระคาถามหาเสน่ห์

โดยกำหนดให้วางไว้ที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย โดยใช้เวลาสัก ประมาณ 15 นาที หลังจากสักเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์หนูกล่าว ผ่านล่ามว่ายันต์อักขระ 5 แถว ที่สักให้ไปทั้งหมดนี้ แปลรวมกันเป็น หัวใจของพระคาถาลงอักขระโบราณตามพระสูตรที่ได้ศึกษาร่ำเรียน มาทำให้อักขระที่มีทั้งหมดเกิดพลังและอานุภาพ พระสูตรที่กล่าวมา นั้นเมื่อมารวมกันครบองค์อักขระ จะทำให้มีพลังพุทธคุณ ไม่ว่าจะเป็น เจ้านายคนใกล้ชิดหรือเพศตรงข้าม เมื่อเห็นหรือได้พูดคุยจะเกิดความรักและหลุมหลง เรื่องการงานก็จะเจริญรุ่งเรือง ดวงไม่ตกต่ำ ใครเห็นใครรัก แม้กระทั่งคนเคยเป็นศัตรูกันก็กลับการเป็นมิตร

นึกไว้ตลอดยันต์ 5 แถวหนุนดวงนั้น ความหมายของอักขระแต่ละตัว จะเป็นองศาของดวงเมืองและดวงดาวต่างๆ ราศีกำลังวันจันทร์ ถึง อาทิตย์ ครบทั้ง 7 วัน ไม่ว่าจะเป็นดาวพระราหูที่จะแทรกเข้ามาทำให้ ดวงตก เช่น คุณพระอาทิตย์ 6 พระจันทร์ 15 อังคาร 18 พระพุทธ 17 พฤหัสบดี 19 พระศุกร์ 21 คุณพระเสาร์สิบทัศน์พระจักรพรรดิ์ 14 พระเกตุ 9 พระราหู 12 แม้กระทั่งองศาในตัวอักขระ 5 แถวนี้ยังมีองศา ด้นพระธรณี (คำว่าด้นคือการย่นระยะทาง) ที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้ รวมถึง ธาตุต่างๆ เช่น (ปฐพีหมายถึงความอ่อนแข็ง) ธาตุดิน-(อาโปหมายถึง ความกำซาบ)ธาตุน้ำ-(วาโยหมายถึงสภาวะที่ไหลดัน)ธาตุลม-(เตโช หมายถึงความร้อน) ธาตุไฟ และโลกุตรธรรม (ธรรมหรือสิ่งที่อยู่เหนือ สภาวะทางโลก)ไหนๆ ก็ได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วจะขยายความตรง เรื่องของธาตุและเรื่องของโลกุตรธรรมให้ฟัง ธาตุ ในโลกมีมากมายก่ายกองเกินกว่าธาตุในตารางธาตุ มี ธาตุชนิดหนึ่งที่วิเศษเป็นธาตุที่บ่งชี้ถึงว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ หรือหมดไปจากโลก แล้วธาตุนั้น คือ นิพพานธาตุปัจจุบันนิพพาน ธาตุยังคงอุดมอยู่ในสยามประเทศแห่งนี้ ผู้ใดอยากได้ชมเชยนิพพาน

ธาตุ ผู้นั้นย่อมพึงทำได้ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นเทวดาและมนุษย์โดย การสร้างบารมี เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์สาวก พระอรหันต์ที่ได้เชยชมและมีนิพพานทานเป็นเครื่องอยู่ ทุกพระองค์ ล้วนสะสมบารมีมาด้วยตนเองทั้งสิ้น บารมีอันประกอบไปด้วยทาน

บารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี โดยมีเครื่อง ค้ำจุนบารมีเหล่านี้ที่เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม 37 อันประกอบไปดำอานาปานัสสตินั้นถือว่า เป็นการสะสมบารมี เป็นการ บังคับจิตให้อยู่ในกายอย่างสงบนิ่ง ใครมีบารมีมาแต่ปางก่อนก็เป็นการ

ทบทวนและกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้อยากกระทำความเพียร ในทางที่จะ

ได้เห็นนิพพานธาตุซึ่งเป็นธาตุเย็น การหมั่นสร้างความเพียรให้ถึงพร้อม และสม่ำเสมอมิได้ขาด หมั่นสั่งสมเพิ่มเติมความพยายามที่จะสร้าง ความดีทั้งกายและจิตใจ ผู้นั้นจะได้เข้าถึงนิพพานธาตุ เข้ากราบพระ- พุทธเจ้าได้อย่างใกล้ชิด ใน มนุษยโลกไม่มีนิพพานธาตุ สัตว์โลกอยู่อย่างลำบากยิ่งร้อน ทั้งภายในอันประกอบไปด้วยกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่ง เป็นไฟที่เรียกว่าไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ร้อนภายนอกอันประกอบ ไปด้วยวัตถุต่างๆ ที่ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นไฟอันออก มาจากใจไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์

ฉะนั้น พวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ควรหมั่นสร้างบารมีตั้งแต่บัดนี้ เพื่อเป็นการสั่งสมบารมีของตนเอง เพื่อผลิตนิพพานธาตุซึ่งเผื่อแผ่ ความร่มเย็นให้กับตนเองและผู้อื่น ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ เชื่อว่าการหมั่นเพียรสั่งสมบารมีนั้น บิดา-มารดา ผู้ที่ให้กำเนิดนั้น

จะได้บุญบารมีจากกองบุญที่เราได้สร้างขึ้น เป็นความกตัญญูที่ลูก

หลานมองข้ามกันไป

. ส่วนคำว่า โลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก คือใจของเรา

เอง ถ้าเราอยากจะทราบว่าโลกุตรธรรมคือธรรมเหนือโลกเป็นอย่างไร ก็ต้องหมายถึงใจผู้ปฏิบัติตนได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมขั้นนั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นภายในจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหมด

ภายในใจ…ธรรมทุกขั้น นั่นละท่านว่าโลกุตรจิต โลกุตรธรรม เต็มภูมิ-ของจิตของธรรม เป็นเครื่องยืนยันกันได้ที่ใจ หากใจยังไม่สัมผัสเมื่อไร

แม้คำว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลกๆ ก็สักแต่ความจำ ความคาด ความหมาย หาความแน่ใจยังไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่จะยืนยันกัน จึงเป็นเรื่องของการปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เมื่อ จิตได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมขั้นใดเข้าไป ย่อมทราบได้ชัดเจน ๆ ความพิสดารของจิตกับธรรมที่สัมผัสกันนั้น พิสดารเอามากทีเดียว ดังที่ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านแสดงไว้ ว่าปัญญาของมนุษย์เรานั้น มีมาก มายกว้างกว่ามหาสมุทรและใหญ่กว่าผืนฟ้า ไม่สามารถที่จะประมาณได้ จิตของเรานั้นสามารถที่จะสัมผัสและรับทราบปัญญาแห่งธรรมทั้ง

หลายที่เกิดขึ้นได้ .
ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมากีดกันหรือกีดขวาง ระหว่างธรรมกับ

จิตไม่ให้สัมผัสกันได้เลย ขอให้ปฏิบัติถึงขั้นที่ควรจะทราบเรื่องธรรม ทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตรเว้นพระพุทธเจ้าเสีย พระสารีบุตร เป็นผู้เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา หรือท่านผู้ที่บรรลุจตุปฏิสัมภิทาญาณนี่ ท่านเหล่านี้แตกฉานมากทีเดียว หมายถึงธรรมเกิดนั่นเอง ธรรมไม่เกิดเอาอะไรมาแตกฉาน เกิด อยู่ตลอดเวลา วิสัยของจิตเราจึง จะมาแข่งขันกันไม่ได้ เช่นเดียวกับภูมินิสัยวาสนานั่นเอง ภูมิของจิตของ ธรรมที่จะรู้ธรรมมากน้อยตามนิสัยวาสนาของตนก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะอิริยาบถใดเกิดอยู่อย่างนั้นตลอด จะมีอะไรเป็นสาเหตุให้เกิด ก็เกิด ไม่มีอะไรเป็นสาเหตุก็เกิด เกิดโดยลำพังของตน คือไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรที่จะมาบีบบังคับไม่ให้เกิด แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมีกรรมเป็นตัว กำหนดด้วยว่าจะช้า หรือเร็วที่เราจะไปให้เห็นธรรมนั้นๆ


การ สักยันต์ทุกๆลายไม่ว่าจะเป็นลายใหนก็ตาม ปริศนาธรรมที่แฝงไว้ก็คือ ต้องการให้คนที่รับการสักนั้นประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีล หมั่นทำความดี นั่นเอง

ขอบคุณภาพจากเว็บ sakyan.com ณ ที่นี้ด้วยครับ

ยันต์ตะกร้อ



ยันต์ตะกร้อ


ต้นตำหรับยันต์ตะกร้อนั้นดั้งเดิมมาจาก พระครูสมุทธรรมสุนทร(หลวงพ่อสุด)แห่งวัดกาหลง จังหวัดสมุทสาคร
ซึ่งท่านเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง เมื่อสมัยก่อนนั้น จอมโจรตี๋ใหญ่ ใด้เดินทางมาหาหลวงพ่อท่าน เพื่อขอเครื่องรางของขลังและให้ท่านสักยันต์ตะักร้อให้ จึงทำให้ตี๋ใหญ่โด่งดังมาก สุดท้ายจอมโจรผู้นี้เหิมเกริมคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ออกปล้นสะดม ฆ่า ก่อความวุ่นวายไปทั่ว จึงทำให้ตี๋ใหญ่พบกับจุดจบในที่สุด

ปัจจุบัน หลวงพ่อสุดมรณะภาพไปแล้วสรีระของหลวงพ่อยังไม่เน่าไปเปื่อย จนได้รับพระราชทานเพลิงศพ
ไฟนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรกระดูกของท่านได้ ทุกวันนี้อัฐิของท่านยังคงตั้งอยู่ที่วัดกาหลง จังหวัดสมุทสาคร
เพื่อให้คนทั้งหลายได้สักการะบูชา
ขอบคุณภาพจากเว็บ sakyan.com ณ ที่นี้ด้วยครับ

พ่อแก่



พ่อแก่

พ่อแก่นั้นถือเป็นบรมครู ผู้ใดบูชาจะให้ผลทางด้านแคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ดีมีสุข แต่ผู้นั้นต้องรักษาศีลตั้งตนเป็นคนดี ไม่ติดยาเสพติด ไม่ประพฤติความชั่วทั้งปวง หมั่นทำบุญทำทานอยู่สม่ำเสมอ และจะแคล้วคลาดปลอดภัยดีนักแล
ขอบคุณภาพจากเว็บ sakyan.com ณ ที่นี้ด้วยครับ

พิธีไหว้ครู


พิธีไหว้ครู


พิธีครอบครูนั้นถือเป็นพิธีที่สำคัญมากอีกพิธีหนึ่ง เพราะศิษย์ทั้งหลายนั้นต้องทำการสักการะบูชาครูผู้ประสิทธ์ประสาทวิชาให้ เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อความเข้มขลังของวิชาที่ผู้ได้รับการสักยันต์ หรือการเรียนมนต์คาถา ส่วนใหญ่การทำพิธีบูชาครูนั้นก็จะดูฤกษ์ดูยามที่เหมาะสม และก็ทำการสักการะด้วยเครื่องเซ่นของถวายตามวิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ศิษย์คนใดตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม ประพฤติือยู่ในศีลในธรรม ของเหล่านั้นก็จะคุ้มครอง แต่ถ้าผู้ใดที่ประพฤติผิดคำครูบาอาจารย์ที่ท่านได้สั่งไว้ รอยสักเหล่านั้นก็จะเป็นเพียงรูปวาดเท่านั้นจะไม่มีพุทธคุณใดๆเลย และผู้ที่มีเวทมนต์คาถาหากทำผิดคำครู มนต์คาถาเหล่านั้นก็จะเสื่อมไป
ทั้งนี้ปริศนาธรรมที่แอบแฝงไว้ทั้งหมดก็เพื่อให้ผู้ทุกคนทำแต่ความดีงาม ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมนั่นเอง

คาถาบูชาพ่อแก่ พระฤษี 108 พระองค์

คาถาบูชาพ่อแก่ พระฤษี 108 พระองค์
คาถาบูชาพ่อแก่


นะโม ตัสสะ พะคะวะโต อะระหะโต
สัมมา สัมพุท ตัสสะ (3 จบ)

อุกาสะ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา อาจาริยัง สัพพะสัยยัง วินาสสันติ สิทธิการิยะ
อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม ทุติยัมปิ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา อาจาริยัง สัพพะสัยยัง

วินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม ตะติยัมปิ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา
อาจาริยัง สัพพะสัยยัง วินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม

คาถาบูชาพระฤาษี

โอม... อิมัสมิง พระประโคนธัพ พระมุนีเทวา หิตาตุมเห ปะริภุญชันตุ ทุติยัมปิ...อิมัสมิง พระประโคนธัพ พระมุนีเทวา หิตาตุมเห ปะริภุญชันตุ ตะติยัมปิ...อิมัสมิง พระประโคนธัพ พระมุนีเทวา หิตาตุมเห ปะริภุญชันตุ

คาถาบูชาพระฤาษี 108 พระองค์

โอม สรเวโภย ฤ ษิโภย นะมัห

เปิดตำนานสักยันต์


ตำนานและความเป็นมา (Tattoo-Thai)

การสักยันต์ลงบนผิวหนังเป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เพราะสมัยก่อนนั้น นักรบผู้กล้านิยมสักยันต์ตามตัวเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจยามออกศึก เพราะมีความเชื่อกันว่า จะฟันแทงไม่เข้า อยู่ยงคงกระพัน จนมาถึงยุคปัจุบันกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทยไปแล้ว ทุกวันนี้ลายสักหรือสักยันต์ตามความเชื่ออย่างโบราณนั้นได้ แปลเปลี่ยนไปจากโบราณไปอย่างมาก ทั้งวิธีการสักและลวดลายภาพที่มีความวิจิตรบรรจงมากขึ้น เรื่องราวของลายสักของคนไทยเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้าเรื่องหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจใคร่ศึกษามากนัก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างหนึ่งและนับวันจะสูญหาย ไป และ ณ บัดนี้ ความรู้จะถูกตีแผ่เพื่อสังคมได้รับรู้รับทราบเพื่อเป็นข้อมูลแด่คนรุ่นหลังๆ สืบต่อไป

"สัก" คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ เขียนว่า "สัก คือ การเอาเหล็กแหลมแทงลงด้วยวิธี การหรือเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ กัน, ใช้เหล็กแหลมจุ้มหมึกหรือน้ำมันแทงที่ผิวหนังให้เป็นอักขระ เครื่องหมายหรือลวดลาย, ถ้าใช้หมึกเรียกว่า สักหมึก, ถ้าใช้น้ำมันเรียกว่า สักน้ำมัน (โบ)” ทำเครื่องหมายสักเพื่อแสดงเป็นหลักฐาน เช่น "สักข้อมือ แสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนเป็นชายฉกรรจ์หรือ มีสังกัดกรมกองแล้ว สักหน้า แสดงว่าเป็นผู้ต้องโทษปราชิก เป็นต้น" จากคำอธิบายดังกล่าวทำให้รู้ว่า การสักลายหรือลายสักของไทยคืออะไร ประเพณีการสักนั้นมีไม่แพร่หลาย บางหมู่บ้านจะพบว่า ผู้ชายไม่ว่าหนุ่มหรือแก่มักมีลายสักที่หน้าอก และแผ่นหลังตามสมัยนิยม ในขณะที่ผู้ชำนาญในการสักของท้องถิ่นแสดงความสามารถที่สืบทอดมาอย่างเต็มที่ ผู้ที่ทำหน้าที่สักมีทั้งพระสงฆ์และคนธรรมดา

การศึกษาค้นคว้าศิลปะ ชาวบ้านประเภทนี้ ควรจะได้รับการศึกษาบันทึกเกี่ยวกับการออกแบบกรรมวิธีและพิธีกรรม ศึกษาเปรียบเทียบแต่ละกลุ่มชน ศึกษาค่านิยม และความเปลี่ยนแปลง ศึกษาการสักที่สืบทอดมาแต่โบราณ การสักมีรูปแบบที่แตกต่างกันอยู่ 2 รูปแบบ คือ ลายสักที่สืบทอดกันมาแแต่โบราณ และ ลายสักที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ แต่ละรูปแบบจะมีวิวัฒนา การตามแบบฉบับของมัน และแสดงให้เห็นรูปแบบของธรรมเนียมในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในแต่ละแง่แต่ ละมุมของลายสักที่สืบทอดกันมาในสังคมไทยในอดีต

การสักที่สืบทอดกันมา แต่โบราณ นักประวัติศาสตร์ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตแบบไทย ๆ คงจะทราบความจริงว่าข้าราชการของไทยจะทำตำหนิที่ข้อมือคนในบังคับซึ่งเป็น หน้าที่ของแผนกทะเบียนเป็นผู้บันทึกและรวบรวมสถิติชาย และอาจะเดาได้ว่าการสักเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งส่วนราชการของไทย หรือการสักเป็นไปตามการแบ่งส่วนราชการ การทำเครื่องหมายลงบนร่างกายนี้อาจมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ( พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ )

การสักที่ เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ วัตถุประสงค์ของการสัก ผู้ชายบางคนจะสักยันต์ด้วยเหตุผลทางเวทมนต์คาถาเพื่อความแข็ง แกร่งของจิตใจและต้องการอยู่ยงคงกระพัน ซึ่งเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประเพณีนิยมในชนบางกลุ่ม การสักลักษณะนี้จะสักให้เฉพาะชายฉกรรจ์เท่านั้น การสักมีลักษณะที่สอดแทรกไว้ด้วยความเชื่อและพิธีกรรมหลายอย่าง เช่น ก่อนทำการสักจะต้องมีการทำพิธีไหว้ครู ในการสักนั้นก็จะประกอบด้วยการร่ายเวทมนต์โดยอาจารย์สักจะถูผิวหนังของผู้มา สักทั้งก่อน ขณะสักลายหรือสักยันต์ และหลังจากสักเสร็จแล้ว อาจารย์สักแต่ละคนจะมีรูปแบบของลวดลายเป็นของตนเอง และผู้ที่ต้องการจะสักสามารถเลือกลายที่อาจารย์มีอยู่ได้ตามต้องการ ส่วนมากจะเป็นสัตว์ในเทพนิยาย และ เป็นอักขระขอมและเลขยันต์ อาจจะสักลายทั้งสามประเภทผสมกัน ดังนั้นลายสักของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

การ สักในประเทศไทยอาจจะมีมาแต่โบราณ แต่จะมีมาตั้งแต่สมัยใดนั้นไม่มีหลักฐานชัดเจน การสักยันต์เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันนั้นเชื่อว่ามีมานานแล้วดังปรากฎใน วรรณคดี เรื่องขุนช้างขุนแผน และวรรณกรรมอื่นๆ แต่การสักมักมองว่าเป็นเรื่องของนักเลง จึงถูกมองไปในทางลบ ทำให้ศิลปะบนผิวหนังประเภทนี้เกือบจะสูญหายไปจากสังคมไทย

เหตุผลที่ การสักยังคงมีอยู่คือ หลาย ๆ คนยังเชื่อว่า การสักจะทำให้มีโชค แคล้วคลาด ปลอดภัย และอยู่ยงคงกระพัน พ้นจากอันตรายต่างๆ รูปแบบของการสักแต่ละชนิดจะมีความขลังที่แตกต่างกัน ลายสักหรือยันต์บางชนิดสามารถช่วยผู้ที่สักให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยุ่งยาก ได้ สัญลัษณ์บางอย่างของลายสักสามารถทำให้ ผิวหนังเหนียวได้ ฟันไม่เข้า ศัตรูยิงไม่ออก เชื่อว่าการสักจะช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้ด้วย

นอกจาก นี้ การสักทางไสยศาสตร์ยังเชื่อมโยงกับการระวังอันตรายและความปลอดภัย ทำให้แคล้วคลาดต่ออันตรายต่างๆ ศิลปะพื้นบ้านประเภทนี้ อาจจะกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น เกิดความมั่นใจ มันอาจเป็นเครื่องแสดงความจริงต่างๆ วัฒนธรรมสมัยใหม่นั้นเมื่อมองแล้วอาจจะไม่ทำให้ปลอดภัย ส่วนวัฒนธรรมการสักยันต์จึงช่วยให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจเขามีความมั่นใจมั่นคงมากยิ่งๆ ขึ้น

การ สักยันต์ที่มีลวดลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในบรรดาผู้ที่นิยมการสัก คือ ลวดลายสักที่ให้ผลทางไสยศาสตร์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เพื่อผลทางเมตตามหานิยม และเพื่อผลทางคงกระพันชาตรี
เมตตามหานิยม เป็นการสักเพื่อผลทางเมตตามหานิยมมักจะสักเป็นรูปจิ้งจก หรือนกสาริกาเพื่อเป็นตัวแทนของความมีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป โดยเฉพาะให้ผลดีทางการเจรจา ค้าขายทำให้เจริญรุ่งเรืองทำมาค้าขึ้น หรือเป็นลักษณะตัวอักขระยันต์ เช่น ยันต์ดอกบัว ยันต์ก้นถุง ยันต์โภคทรัพย์ ซึ่งมีผลทางด้านการเงิน เป็นต้น
คงกระพันชาตรี เป็นการสักเพื่อให้แคล้วคลาดจากของมีคม อุบัติเหตุ หรืออันตรายทั้งปวง ลักษณะของลายสักเพื่อผลทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีจะนิยมสักลวดลายซึ่งเป็นตัว แทนความดุร้าย ความปราดเปรียว ความสง่างาม ความกล้าหาย ได้แก่ ลายเสือเผ่น หนุมานคลุกผุ่น หงส์ และลายสิงห์ เป็นต้น หรือเป็นลายที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันภยันตราย เช่น เก้ายอด ยันต์เกราะเพชร หรือลายยันต์ชนิดต่างๆ เป็นต้น

และสิ่งที่สำคัญที่ สุดที่เป็นแก่นแท้ของการสักเพื่อผลทางไสยศาสตร์ และถือกันว่าเป็น “หัวใจของการสักก็คือ หัวใจของคาถาที่กำกับลวดลายสักแต่ละลายอยู่ เพราะสิ่งนี้คือเคล็ดลับวิชาคาถาอาคมที่เป็นวิชาชั้นสูงของแต่ละอาจารย์ที่ จะไม่เปิดเผยให้แก่ผู้ใดเป็นอันขาด” นอกจากลูกศิษย์ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้รับถ่ายทอดวิชาการสักยันต์ ของอาจารย์สืบต่อไป

ลายสักดังกล่าวจะต้องถูกสักอยู่ในตำแหน่งที่ถูก ที่ควร ไม่เช่นนั้นความขลังจะไม่เกิด โดยมากผู้มาสักประสงค์จะให้ลายสักอยู่ภายในร่มผ้ามากที่สุด ตำแหน่งที่นิยมสักเรียงตามลำดับดังนี้คือ หลัง หน้าอก คอ ศีรษะ ไหล่ แขน ชายโครง หน้า มือ และหัวเข่าของบุคคลในแวดวงการสักลาย เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการสักคือเพื่อผลทางไสยศาสตร์ จึงต้องสักโดยครูอาจารย์ที่มีวิชาอาคมศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะเท่านั้น ฆราวาสหรือบุคคลธรรมดาที่ไม่มีวิชาความรู้ทางด้านนี้จะไม่ได้รับการยอมรับ ครู และอาจารย์ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลทั่วไป และความศักดิ์สิทธิ์ของการสักก็มักจะได้รับการทดสอบจนเห็นผลเป็นที่ร่ำลือมา แล้ว

จากอดีตที่การสักแทบจะสูญหายไปเนื่องจากกระแสวัตถุนิยมเข้ามา แทนที่ทำให้ ความต้องการทางด้านจิตใจของคนเปลี่ยนไปหันไปพึ่งวัตถุนิยมแต่สุดท้ายแล้ว เมื่อความรักชาติรักความเป็นไทยในสายเลือดก็ย่อมไม่เจือจางเมื่อมีบุคคล หลายๆคนได้พยายามปลุกกระแสการสักยันต์ขึ้นมาใหม่เพื่ออนุรักษ์วิถีของไทยแต่ ก่อนกาล และดูว่าจะได้รับความสนใจขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบการสักยันต์ขึ้นมาใหม่ที่มีลวดลายงดงาม ปราณีตยิ่งขึ้น และวิธีการสักที่มีเครื่องมือที่สะอาดทันสมัยปลอดจากโรค ทำให้วงการสักยันต์ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สำหรับคนที่ยังทำการสักแบบเดิมๆที่ยังขาดความสวยงามและเครื่องมือที่ไม่ สะอาดเสี่ยงกับการติดเชื้อร้ายแรงประเภทต่างๆ ก็จะถูกสังคมต่อต้านจนเลิกไปเอง ทำให้เกิดยุคของการสักยันต์ในรูปแบบใหม่ที่ว่าด้วย " ลายสวยและเครื่องมือสะอาดปลอดโรค"
ส่วนวิธีสักด้วยน้ำมันแทนการสักด้วยน้ำหมึก เพื่อจะได้มองไม่เห็นลวดลาย สำหรับบุคคลที่ต้องการเน้นความขลัง ของมนตราของการสักมากกว่ารูปภาพ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งไว้รองรับ สำหรับผู้นิยมแบบเสือซ่อนเล็บ หรือคมในฝัก ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
มุมมองของคนแต่ละกลุ่มแตก ต่างกันไปตามความคิดและทัศนคติของผู้เขียนว่ายืน อยู่เคียงข้างกลุ่มใดแต่จนแล้วจนรอด ความจริงเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทำไมวันนี้การสักยันต์ของไทยเรา ยังยืนอยู่ได้ทั้งๆที่แม้จะมีคนหลายๆกลุ่ม ใส่ร้ายใส่ความคนที่สักยันต์ต่างๆนานาว่าเป็นคนไม่ดี คนขี้คุก แต่คนเหล่านั้นไม่เคยนำบุคคลที่มีคุณงามความดีและมีรอยสักมาเผยแพร่เลย อย่างเช่นเสด็จเตี่ยของเราก็มีรอยสักเต็มตัวทั้งๆที่เป็นลูกกษัตริย์ ท่านก็ไม่เคยคิดในแง่ไม่ดีสำหรับการสักยันต์ หรือบุคคลทีมีชื่อเสียงในสังคมเรา อย่าง ดร.ไมตรี บุญสูง ท่านก็มีรอยสัก ท่านก็ยังกระทำความดีเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคม อาจเป็นเพราะว่าสื่อบางประเภทนิยมมุมมองเรื่องเลวร้ายมากกว่าเพราะเห็นว่า เป็นข่าวขายดี เข้าตำราว่าข่าวเรื่องดีขายไม่ออก เพราะฉนั้นถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่คุณก็จะเห็นอะไรใหม่ๆ ลองมองกลับไปดูปู่ ย่า ตา ยาย คุณดูสิ เชื่อได้ว่าหลายๆคนก็มีรอยสักแต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดี และอีกอย่างที่เป็นที่โต้เเย้งกันมากนักเรื่องการสักยันต์ในคุกในสถานกักกัน ได้ใจความจากท่านอาจารย์เสือให้ข้อคิดว่า "การสักยันต์เกิดจากผู้ที่ทำการสักต้องป็นผู้มีวิชามีครูบาอาจารย์จะเป็นพระ สงฆ์ก็ดีจะเป็นอาจารย์ฆราวาสก็ดี บุคคลเหล่านี้จะต้องเรียนรู้ในวิชาการสักของแต่ละสาย จึงสามารถนำมาทำการสักให้ศิษย์ได้ และคนในคุกในสถานกักกันเขาเป็นคนประภทไหน และจะเรียกสักยันต์ได้อย่างไร เขาเรียกว่าสักกันเล่นๆ อย่าเอามารวมกัน จึงข้อร้องให้ผู้ที่มีปากกาในมือทั้งหลายจะเขียนอย่างไรถ้าตนเองไม่เข้าใจ ให้ไปถามผู้รู้จะดีกว่า อย่าทำให้ข้อมูลที่ดีมันบิดเบือนจนสร้างความเข้าใจผิดให้คนในสังคมรู้สึกไม่ ดี และบุคคลเหล่านั้นที่เขียนเรื่องไม่จริงก็จะเป็นคนที่ทำลายชาติ ทำลายวัฒนธรรมตนเอง ของที่ครูบาอาจารย์สร้างมาตลอดชีวิตจะมาเสียเพราะคนรู้เท่าไม่ถึงกาลมาทำลาย เสียหมด ช่วยกันดีกว่าไหม ก่อนการสักของประเทศอื่นๆจะมากลืนกินการสักยันต์ไทยเราจนหมดสิ้นเพราะคนไทย ทำลายมันเอง"

การสักยันต์แบบเข็มโบราณ

เป็นการสักยันต์ แบบโบราณ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การสักด้วยน้ำมัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันว่าน 108 ซึ่งมีผลทางด้านเมตตา มหาเสน่ห์ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะไม่เห็นรอยสักเหมือนการสักแบบหมึก เพียงแค่ 2-3 วัน รอยก็จะจางหายไป ลวดลายที่นิยมก็จะเกี่ยวข้องกับ เมตตา ค้าขาย การเจรจาประกอบธุรกิจ ศิลปิน นักแสดง เช่น ยันต์สาลิกา ยันต์จิ้งจก ยันต์เมตตา ยันต์ลือชา ยันต์ถุงเงินถุงทอง และอื่นๆ อีกนับร้อย
2. การสักด้วยหมึกจีน โดยการใช้เข็มเหล็กแหลมจุมหมึกสีดำผสมว่าน108 นำมาทิ่มลงบนบริเวณเนื้อที่ต้องการสักยันต์ลงไป โดยอาจารย์เสือจะเป็นผู้ร่างแบบใหม่ทุกลาย ทุกคนจะได้ลายสักที่ไม่ซ้ำกันเพราะเป็นการเขียนขึ้นสดๆจากจินตนาการของตัว อาจารย์เอง ไม่ได้ใช้แม่พิมพ์ใดๆทั้งสิ้น..ศิษย์ทุกคนที่ได้ลายสักไปจะเกิดความภาคภูมิ ใจในความเป็นหนึ่งเดียวของตน


การสักยันต์โดยใช้เครื่อง

เป็น การประยุกต์การสักยันต์แบบยุคโบราณเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งไม่ผิด กฏเกณฑ์ใดๆ เพราะสมัยโบราณไม่ได้มีข้อกำหนดในการขึ้นรูปรอยสักว่าจะต้องเป็นการสักที่ ใช้เข็มทิ่มลงไปบนเนื้อเท่านั้น เพียงแต่ให้มีรูปในลักษณะที่ถูกต้องตามหลักศาสตร์ของการเขียนเลขและอักขระ ของยันต์ก็เพียงพอแล้ว แต่หลักที่สำคัญที่จะทำให้เกิดพระพุทธคุณเทียบเท่าอย่างโบราณได้กำหนดไว้คือ อาจารย์ผู้ปลุกเลขยันต์ต้องมีวิชาและสมาธิที่ถึงขั้นในการเรียกรูปเรียกนาม ให้เกิดอิทธิฤทธิ์ปฎิหารย์ขึ้นมาได้เป็นอันสมบูรณ์ ในการสักยันต์แบบเครื่องไฟฟ้าจึงเป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะมีความสวยงามและ มีสีสันดูมีชีวิตชีวามากกว่าการสักแบบเข็ม และมีที่นี้ที่เดียวที่สามารถผสมผสานทั้งสองอย่างได้อย่างลงตัว
วิธีสัก แบบ Tattoo นั้นนักสักจะใช้เครื่องสักไฟฟ้ามีกระปลุกบรรจุสีอยู่ด้านบนหัวเข็มการทำงาน ของเครื่องคล้ายจักรเย็บผ้า การสักด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้ภาพสักที่สวยงามคมชัด นักสักสามารถเล่นสีได้ตามใจชอบภาพที่ออกมาเหมือนกับวาดภาพบนกระดาษ ผู้สักไม่เจ็บปวดเหมือนกับการสักยันต์